สูงได้ถึง 12 เมตร กิ่งก้านแผ่ขยายออก ลำต้นมักคดงอ เปลือกสีน้ำตาลเข้ม ลำต้นแตกเป็นสะเก็ดเป็นร่องลึก ตามปลายกิ่งมีกาบหุ้มตาแข็งและแหลม ใบเดี่ยว เรียงสลับ มักพบเรียงชิดกันเป็นกลุ่ม ที่ปลายกิ่ง ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ หรือรูปใบหอกแกมรูปไข่กลับ กว้าง 2.5-5.5 ซม. ยาว 12-17 ซม. ปลายแหลมหรือเรียวแหลม พบบ้างที่ปลายมน โคนแหลมหรือมน ขอบใบจักฟันเลื่อยถี่ ผิวใบเรียบ เส้นใบข้าง 7-15 คู่ หักโค้งงอ และมีเส้นระหว่างกลาง ไม่จรดกัน ก้านใบ ยาว 2-3 มม. ใบแก่เขียวหม่น เหนียวเหมือนแผ่นหนัง มีหูใบเล็กๆ หลุดร่วงง่าย ทิ้งร่องรอยไว้บนกิ่งก้าน ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง ออกที่ซอกใบและใกล้ปลายกิ่งที่ไม่มีใบ มักออกดอกพร้อมแตกใบใหม่ เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีดำ ผิวมัน ผลมีก้านเกสรตัวเมียคงเหลืออยู่ และมีกลีบเลี้ยงสีแดงสดเจริญตามมารองรับ มีเมล็ด 1 เมล็ด ชั้นหุ้มเมล็ดแข็งขนาดใหญ่ มีเนื้อบางๆหุ้ม พบทั่วไปตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง ป่าสน ป่าชายหาด ความสูง ตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเลจนถึงประมาณ 1,200 เมตร ออกดอก และเป็นผลระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายน
เครดิตภาพ : ข้อมูลพรรณไม้ ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทยเชียงใหม่
ปลูก ได้ในดินทั่วไป เป็นไม้ชอบแดด ไม่ชอบน้ำท่วมขัง หลังปลูกรดน้ำพอชุ่มเช้าเย็น บำรุงปุ๋ยมูลสัตว์จำพวกขี้วัวหรือขี้ควายแห้งกลบฝังดินรอบโคนต้นเดือนละ ครั้ง พร้อมตัดแต่งกิ่งอย่างสม่ำเสมอ